พระบรมศพและพระศพเจ้านายซึ่งเคยประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมหาราชวัง
พระมหาปราสาทแห่งเกียรติยศ
“...ครั้น ณ
วันอาทิตย์ ขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนเจ็ด เวลาบ่ายสามโมงหกบาท ฝนตกอสนีบาตลงต้องหน้าบันมุขเด็จพระที่อมรินทราภิเศกมหาปราสาท
ติดเป็นเพลิงโพลงขึ้นไหม้เครื่องบนพระมหาปราสาท
กับทั้งหลังคามุขทั้งสี่ทำลายลงสิ้นแล้ว เพลิงลามไปติดไหม้พระปรัศซ้ายด้วยอีกหลังหนึ่งฯ
ขณะเมื่อเพลิงฟ้าแรกติดพระมหาปราสาทนั้น
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แลพระราชวงษานุวงษทั้งปวง
กับข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง แลพระราชาคณะถานานุกรมทุกๆ พระอารามหลวง ก็เข้ามาในพระบรมมหาราชวังช่วยดับเพลิงพร้อมทั้งสิ้นฯ...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
ฉบับโรงเรียนสวนกุหลาบ :
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค))
พุทธศักราช ๒๓๓๒ ภายหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ สมุหนายก
รื้อพระมหาปราสาทองค์เดิมลง แล้วสร้างองค์ใหม่ขึ้นทดแทน พระราชทานนามว่า “พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท”
เป็นปราสาทอย่างไทยทรงจัตุรมุข มีความสูงใหญ่เท่ากับพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์
ในพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา เป็นพระที่นั่งองค์สำคัญที่กล่าวกันว่าเป็นหลักของพระนคร
เพราะใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ อาทิ การบำเพ็ญพระราชกุศลในพระราชสำนัก
พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภชในรัชกาลที่ ๖ ทั้งยังปรากฏว่าในรัชกาลที่
๓ เคยใช้เป็นสถานที่สำหรับเสด็จออกว่าราชการเมื่อคราวซ่อมแซมหมู่พระมหามณเฑียรครั้งใหญ่ด้วย
ซึ่งนอกจากจะใช้ประกอบพระราชพิธีดังกล่าวมา พระมหาปราสาทองค์นี้ยังสงวนไว้สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพขององค์พระมหากษัตริย์
และพระศพพระราชวงศ์ชั้นสูง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายก่อนจะเชิญไปถวายพระเพลิง
ณ พระเมรุท้องสนามหลวง ดังนั้น หากเจ้านายพระองค์ใดเสด็จสวรรคต
หรือสิ้นพระชนม์แล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระบรมศพ หรือพระศพไว้ ณ
มุขตะวันตกของพระที่นั่งแห่งนี้ ย่อมเป็นเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศอย่างที่สุด
เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าเจ้านายพระองค์นั้น ไม่เพียงแต่ทรงมีสัมพันธ์พิเศษกับองค์พระมหากษัตริย์
หากแต่ยังเป็นผู้มีคุณูปการทั้งต่อราชการในพระองค์
หรือต่อประเทศชาติเป็นอเนกประการด้วย
สำหรับการประดิษฐานพระบรมศพ และพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ปรากฏหลักฐานว่ามีขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เมื่อครั้งทรงจัดงานพระศพพระราชทานสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กรมพระศรีสุดารักษ์ ในปี
พ.ศ.๒๓๔๒ และนับแต่นั้นมาเมื่อพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชชนนี
สมเด็จพระอัครมเหสี หรือสมเด็จพระยุพราชเสด็จสวรรคต
ตลอดจนพระราชวงศ์ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระเกียรติยศเป็นพิเศษก็จะเชิญพระบรมศพ
หรือพระศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระมหาปราสาท ดังปรากฏพระนามตามที่รวบรวมไว้ ดังนี้
พระองค์ที่
๑ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯกรมพระศรีสุดารักษ์
(พ.ศ. ๒๓๔๒-๒๓๔๓)
พระองค์ที่
๒ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
(วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๔๒–พ.ศ.
๒๓๔๓)
“...ลุศักราช ๑๑๖๑ ปีมะแม
เอกศก สมเด็จตรัสสาเจ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ เสด็จสู่สวรรคาไลย ณ วัน ๑๑ฯ๑๒ ค่ำ สมเด็จตรัสสา เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี
เสด็จสู่สวรรคาไลย เชิญพระโกษไว้ที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ฟ้าผ่าปราสาทแต่ไม่ไหม้...”
(จดหมายเหตุความทรงจำ
ของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี)
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาเทพสุดาวดี
(เดิมเป็น “กรมพระเทพสุดาวดี”) พระพี่นางพระองค์ใหญ่ และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสุดารักษ์
พระพี่นางพระองค์น้อย เป็นเจ้านายผู้หญิงสองพระองค์แรก ที่ได้รับการสถาปนาให้ทรงกรมชั้นสูงสุดที่ชั้น
“กรมพระ” เพราะนับตั้งแต่มีธรรมเนียมการสถาปนาเจ้านายให้ทรงกรม ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเป็นต้นมา
เจ้านายผู้หญิงที่ดำรงฐานันดรศักดิ์ชั้น “กรมพระ” จะมีเฉพาะสมเด็จพระบรมราชชนนีเท่านั้น
ดังปรากฏหลักฐานว่าในรัชกาลสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์
และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชมารดามีพระยศเป็น “กรมพระเทพามาตย์”
มาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อทรงสถาปนาตั้งพระราชวงศ์ใหม่
เป็นเวลาที่พระชนนีได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่พระพี่นางทั้งสองพระองค์
ที่อุปถัมภ์บำรุงพระองค์มา เป็นที่เคารพยกย่องเสมอด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
สถาปนาให้มีพระยศชั้นสูงสุด และได้ทรงบังคับบัญชาว่าราชการฝ่ายในต่างพระเนตรพระกรรณ
ทั้งยังปรากฏเหตุการณ์หลายครั้งว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสีหนาท
พระอนุชา ทรงเกรงพระราชหฤทัยในองค์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธออยู่เสมอ เมื่อถึงคราวสิ้นพระชนม์จึงได้พระราชทานพระเกียรติยศอย่างสูงสุด
เดิมนั้น ผู้เขียนมีความเข้าใจว่า
พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นพระองค์แรกที่ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๒ เนื่องจากในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี
ได้กล่าวถึงการประดิษฐานพระบรมศพครั้งนั้นเป็นครั้งแรก
โดยที่เมื่อกล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอทั้งสองพระองค์
มิได้ระบุถึงสถานที่ตั้งพระศพแต่อย่างใด แต่ผู้เขียนยังมีข้อติดใจอยู่
เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า รัชกาลที่ ๑ ทรงเคารพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอทั้งสองพระองค์เป็นอย่างมาก
จะเป็นไปได้หรือที่จะให้เชิญพระศพไปตั้งไว้ที่หอใดหอหนึ่งในพระบรมมหาราชวังเฉกเช่นเจ้านายฝ่ายในพระองค์อื่น
ๆ บังเอิญให้นึกถึงหนังสือจดหมายเหตุความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี
จึงได้อ่านทบทวนดู และได้พบข้อความว่า “สมเด็จตรัสสา
เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี เสด็จสู่สวรรคาไลย เชิญพระโกษไว้ที่นั่งดุสิตมหาปราสาท”
ก็เป็นอันสิ้นข้อสงสัยทันที และได้ข้อสรุปว่า พระศพแรกที่ได้ประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
คือ พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสุดารักษ์
และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาเทพสุดาวดี ตามลำดับการสิ้นพระชนม์ และเข้าใจว่าคงจะตั้งพระโกศของทั้งสองพระองค์ไว้คู่กันจวบจนถึงการบำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุใน
พ.ศ.๒๓๔๓
พระองค์ที่
๓ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสุนทรเทพ พ.ศ. ๒๓๕๐
“...ณ วัน ๑ฯ๘ ค่ำ ปีมะโรง
สัมฤทธิศก เจ้าฟ้ากรมสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ ไว้พระศพบนปรางค์ปราสาท...”
(จดหมายเหตุความทรงจำ ของพระเจ้าไปยิกาเธอ กรมหลวงนรินทรเทวี)
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีสุนทรเทพ
เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ที่ประสูติแต่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ.๒๓๕๐
สมเด็จพระราชบิดาทรงพระอาลัยมาก ถึงกับมีพระราชดำรัสว่า “สิ้นลูกคนนี้แล้วพระเนตรมืดสี่ด้าน
พระกรรณตึงสี่ด้าน” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระโกศทองใหญ่สำหรับทรงพระศพเป็นเกียรติยศ
ครั้นถึงคราวที่จะพระราชทานเพลิง ก็ได้มีพระราชดำรัสอีกว่า “ลูกคนนี้รักมาก
ต้องนุ่งขาวให้” ซึ่งนับเป็นการพระราชทานพระเมตตาอย่างสูง
เพราะตามธรรมเนียมแล้วการจะนุ่งขาวนั้นจะต้องเป็นงานพระศพเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีพระชนม์สูงกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อคราวพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
ผู้ซึ่งบังคับบัญชาราชการฝ่ายในต่างพระเนตรพระกรรณสิ้นพระชนม์ หรือในสมัยรัชกาลที่
๕ เมื่อพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี ซึ่งมีพระราชดำรัสว่าเป็น
“ลูกคู่ทุกข์คู่ยาก” สิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ พระองค์
ก็ได้นุ่งขาวพระราชทานเป็นเกียรติยศแก่พระศพด้วย
พระองค์ที่
๔ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๒
“...ครั้นรุ่งขึ้นวันศุกร์
แรม ๑๔ ค่ำ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล กับสมเด็จพระอนุชาธิราช
เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ ซึ่งได้ดำรงพระยศเป็นพระบัณฑูรน้อยมาตั้งแต่ในรัชกาลที่
๑ พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ เสด็จเข้าไปสรงสการทรงเครื่องพระบรมศพเสร็จแล้ว
เชิญพระบรมศพลงสู่พระลองเงิน ตำรวจแห่ออกประตูสนามราชกิจ เชิญขึ้นพระยานุมาศประกอบพระโกศทอง ตั้งกระบวนแห่เชิญไปประดิษฐานไว้ ณ
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทด้านมุขตะวันตก...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๒ :
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรก
และเป็นพระบรมศพแรกที่ได้ประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พระองค์ที่
๕ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๗
“...ครั้นถึง ณ วันเดือน
๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เวลาย่ำรุ่ง
ได้เชิญพระบรมโกศออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแห่ไปขึ้นพระมหาพิชัยราชรถที่หน้าวัดพระเชตุพน
ตั้งกระบวนแห่อย่างใหญ่ไปสู่พระเมรุ...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๓ :
เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี)
พระองค์ที่
๖ พระบรมศพสมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙
“...ครั้นลุศักราช ๑๑๘๘ ปีจอ อัฐศก
เป็นปีที่ ๓ สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ซึ่งเป็นพระบรมอัยกีเสด็จสวรรคต
เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๖ แรม ๕ ค่ำ พระองค์ประสูติ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๔ แรม ๕
ค่ำ ปีมะเส็ง นพศก ศักราช ๑๐๙๙ ปีพระชนม์ได้ ๘๙ พรรษา
ได้เชิญพระศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๓ :
เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี)
สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์
ทรงมีฐานะเป็น “ภรรยาเอก” ของสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง)
มาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แม้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๑ จะไม่ทรงสถาปนาให้มีพระอิสริยยศอย่างหนึ่งอย่างใดในฐานะ
“พระมเหสีเอก” แต่ชาววังก็ออกพระนามว่า “สมเด็จพระพันพรรษา” ตามธรรมเนียมการออกพระนามถวายพระพรสมเด็จพระบรมราชชนนี
หรือสมเด็จพระอัครมเหสี ครั้นต่อมาในรัชกาลที่ ๒ จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น
“สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์” ที่ตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ดำรงพระชนม์อยู่จนกระทั่งในรัชกาลที่ ๓ จึงทรงเปลี่ยนพระราชฐานะมาเป็น
“สมเด็จพระบรมอัยกี” และด้วยทรงเป็นบุรพราชพการีนี้เอง
จึงเป็นที่เคารพในพระองค์พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
และเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ เมื่อเสด็จสวรรคตจึงได้อัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทถวายตามพระเกียรติยศ
พระองค์ที่
๗ พระบรมศพสมเด็จกรมพระศรีสุลาไลย พระบรมราชนนีพันปีหลวง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐
“...ในปีระกานั้น
สมเด็จพระพันปีหลวงซึ่งเป็นกรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย ทรงประชวรไข้พิษสวรรคตเมื่อ ณ
วันอังคารเดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำ เวลา ๓ ยาม ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๓ ค่ำ
ปีขาล โทศก ศักราช ๑๑๓๒ พระชนม์ ๗๖ พรรษา
ได้เชิญพระศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๓ :
เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี)
สมเด็จกรมพระศรีสุลาไลย
พระนามเดิมว่า “เจ้าจอมมารดาเรียม” เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ได้เสวยราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จกรมพระศรีสุลาไลย” ที่ตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
และเสด็จสวรรคตในรัชกาลของพระราชโอรส
พระองค์ที่
๘ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔
“...แล้วเสด็จพระราชดำเนินเข้าไปสรงพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
เชิญประดิษฐานลงในพระลองเงิน เชิญออกทางประตูสนามราชกิจขึ้นประดิษฐานเหนือพระยานุมาศประกอบพระโกศทองคำ
แล้วแห่ไปโดยขบวน ขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (เทศนาพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
พระองค์ที่
๙ พระศพสมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี บรมอรรคราชเทวี ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ พ.ศ.
๒๓๙๔
“...ในเดือน ๑๐ นั้น
พระองค์เจ้าโสมนัศวัฒนาวะดี
ซึ่งเป็นพระเจ้าหลานเธอในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นพระบุตรีพระองค์เจ้าลักขณา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยงขึ้น
ตั้งให้เป็นสมเด็จพระนางโสมนัศวัฒนาวะดี ทรงพระประชวรเป็นพระยอดภายในที่ศูนย์พระนาภี
แพทย์หมอไม่รู้ถึงพระโรค เข้าใจว่าเป็นโรคครรภรักษา ก็รักษาไป
“ครั้งพระครรภ์ได้ ๗ เดือน ณ เดือน ๑๑
ขึ้น ๗ ค่ำ ก็ประสูติพระราชกุมาร ออกมาอยู่ได้ ๗ ชั่วโมงก็สิ้นพระชนม์ในวันนั้น
ฝ่ายสมเด็จพระนางโสมนัศวัฒนาวะดีนั้น พระยอดเป็นพระบุพโพแก่ก็แตกออกมาที่ศูนย์พระนาภีตกข้างในบ้าง
ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ก็สิ้นพระชนม์
พระองค์ประสูติ ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย
แรม ๖ ค่ำ ปีมะเมีย ฉศก ศักราช ๑๑๙๖ สิริพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา
จะเชิญพระศพไปไว้ในหอธรรมสังเวช การก็ทำยังไม่แล้ว จึ่งได้เชิญพระศพขึ้นไปไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๔ :
เจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี)
สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี
บรมอรรคราชเทวี (สมเด็จพระนางเธอโสมนัสวัฒนาวดี)
เป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้ในพระราชพงศาวดารจะใช้ว่า
“สิ้นพระชนม์” แต่ในประกาศสถาปนาพระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์
เมื่อกล่าวถึงพระอัครมเหสีพระองค์แรกทรงใช้ว่า “สวรรคต”
เจ้านายพระองค์นี้เป็นพระราชนัดดาในรัชกาลที่ ๓ สมเด็จพระอัยกาทรงพระกรุณามาก
โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนจากหม่อมเจ้า ขึ้นเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า และเมื่อคราวงานโสกันต์โปรดให้จัดยิ่งใหญ่อย่างงานโสกันต์เจ้าฟ้า
ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดราชนัดดาพระราชทานเป็นเกียรติยศแก่พระเจ้าหลานเธอ
มาในรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รับไว้เป็นพระอัครมเหสี เมื่อมีประสูติกาลพระราชโอรสก็มีพระยศเป็น
“เจ้าฟ้า” โดยทันที จนถึงเวลาที่เสด็จสวรรคตจึงได้พระราชทานพระเกียรติยศเป็นพิเศษ
และถือเป็นพระอัครมเหสีพระองค์แรกที่ได้ประดิษฐานพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
พระองค์ที่
๑๐ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๑
“...เจ้าฟ้าฯ
กรมขุนบำราบปรปักษ์สรงน้ำทรงเครื่องพระบรมศพ
แล้วเชิญลงพระลองเงินแห่พระบรมศพเป็นกระบวรมา ออกประตูสนามราชกิจ เชิญพระโกษฐ
ขึ้นตั้งบนพระยานนุมาศสามลำคาน ประกอบพระโกษฐทองใหญ่ มีพระมหาเศวตฉัตรกั้น
แห่กระบวรใหญ่ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เชิญพระโกษฐพระบรมศพขึ้นประดิษฐานเหนือแว่นฟ้าทองคำในมหาปราสาทด้านตะวันตก...”
(จดหมายเหตุเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต
:
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ)
พระองค์ที่
๑๑ พระบรมศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๓๘
“...มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
สยามมกุฎราชกุมาร ประชวร มีพระอาการให้เหนื่อยหอบเปนกำลัง แพทย์เห็นว่า
พระอะวะยะวะภายในพระอุระพิการ ประกอบพระโอสถถวาย พระอาการคลายแล้ว กลับทรุดหนักลง
ถึง ณ วันที่ ๔ มกราคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓ สวรรคต โปรดเกล้าฯ
ให้เชิญพระบรมศพไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๑๑ หน้า ๓๒๘)
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา
พระบรมราชเทวี ทรงรับรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์ และดำรงพระอิสริยยศเป็น
“สยามมกุฎราชกุมาร” พระองค์แรกของไทย
มีพระเกียรติยศเสมอด้วยสมเด็จพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า “สวรรคต” และ “พระบรมศพ” อีกทั้งเมื่อเสด็จสวรรคตพระองค์ท่านประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง
ไม่ได้ทรงมีวังข้างนอกอย่างพระราชโอรสพระองค์อื่น ๆ
จึงได้อัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งนับเป็นเจ้านายฝ่ายหน้าพระองค์แรกและเป็นเพียงพระองค์เดียวมาจนถึงปัจจุบัน
พระองค์ที่
๑๒ พระศพพระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐
(ในรัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามใหม่ว่า “สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร”)
“...พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ
กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ประชวรพระโรคชรามาช้านาน พระอาการคลายแล้วกลับซุดลง
ถึงวันที่ ๑๗ สิงหาคม ร,ศ,๑๑๕ พระอาการหนักลงมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดำเนินลงไปประทับอยู่ที่ตำหนักของท่านจนเวลาเช้า ๔ โมง ๓๔ นาที
สิ้นพระชนม์ ... เมื่อหยุดพระยานมาศแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปประทับที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ทอดพระเนตรเจ้าพนักงานเปลื้องพระโกษ เชิญพระลองขึ้นบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓ หน้า ๒๒๕ –
๒๒๖)
พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ
กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกับสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยาพิทักษ์
(เสด็จตา ในรัชกาลที่ ๕) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงตรัสเรียกว่า
“เสด็จยาย” ทรงถวายเคารพเสมอด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี เพราะได้อภิบาลบำรุงพระองค์มาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
ชาววังออกพระนามว่า “ทูลกระหม่อมแก้ว” เมื่อต้นรัชกาลก็ได้ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการพระราชฐานชั้นใน
ดังนั้น เมื่อสิ้นพระชนม์จึงมีพระบรมราชโองการให้สถาปนาพระเกียรติยศอย่างสมเด็จพระบรมราชชนนี
โดยโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
และในหมายของทางราชการให้เปลี่ยนจากคำว่า “สิ้นพระชนม์” เป็น “สวรรคต”
และให้เจ้าพนักเชิญพระเศวตรฉัตร ๗ ฉัตร ไปกางกั้นพระพระโกศถวายเป็นพระเกียรติยศ ซึ่งถือว่าเป็นเจ้านายฝ่ายในชั้นพระองค์เจ้าพระองค์แรก
และเป็นเพียงพระองค์เดียวที่ได้รับพระราชทานเกียรติยศอย่างสูงสุด
พระองค์ที่ ๑๓
พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม
พ.ศ.๒๔๕๓ – ๑๖ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๔
“...ด้วยเหตุที่ไม่ได้แลเห็นแต่ก่อนว่าจะมีในเวลาเร็วพลัน
เปนที่เศร้าโศกโทมนัศโศกาลัยอันยิ่งใหญ่แสนสาหัส ในนิกรชนทุกหมู่เหล่าไม่เลือกหน้าได้บังเกิดขึ้น
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวรพระโรคพระธาตุพิการ
มาแต่วันที่ ๑๖ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ พระโรคกลายเป็นทางพระวักกะพิการ
แพทย์ได้ประกอบพระโอสถถวายพระอาการหาคลายไม่ ถึงวันเสาร์ที่ ๒๒ ตุลาคม
รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ เวลา ๒ ยาม ๔๕ นาที เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
พระราชวังสวนดุสิต พระชนมพรรษา ๕๘ เสด็จดำรงศิริราชสมบัติ ๔๓ พรรษา
วันในรัชกาลนับแต่มูลพระบรมราชาภิเศก ๑๕๓๒๐ วัน
“สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมกุฎราชกุมารผู้เปนรัชทายาทสืบพระบรมราชสันตติวงษ์
ดำรงศิริราชสมบัตเปนสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประทับในพระที่นั่งอัมพรสถาน
พร้อมด้วยพระบรมวงษานุวงษ์ ข้าทูลละอองธุลีพระบาทที่เปนเสนาบดีแลองคมนตรี
มีพระราชดำรัสสั่งการสรงพระบรมศพแลเชิญไปประดิษฐานในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในวันรุ่งขึ้น...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๒๗ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๒๙ หน้า ๑๗๘๒)
พระองค์ที่
๑๔
พระบรมศพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๒ – ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๖๓
“...ด้วยสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินี พระพันปีหลวง ทรงพระประชวรมาช้านานแล้ว มีพระอาการไข้แรงจัดขึ้น
เมื่อเวลาเที่ยงวันที่ ๑๙ เดือนนี้
มีพิศม์ขึ้นในพระอันตะ พระกำลังพระหทัยทนพิศมืไม่ไหวเสด็จสู่สวรรค์คต เวลา
๘ นาฬิกาก่อนเที่ยง วันที่ ๒๐ เดือนนี้ เปนที่ทรงพระราชรันทดกำสดโศกเศร้าพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง
และเปนที่โศกเศร้าแก่พระบรมวงศานุวงศ์ กับบรรดาเสนามาตย์ราชเสวกทั่วไป
ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ สรงน้ำพระบรมศพ
ทรงเครื่องตามขัติยราชประเพณี เชิญพระโกษประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
มุขตะวันตก และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศถวายฉลองพระเดชพระคุณแล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้กำหนดเวลาไว้ทุกข์ทั่วกัน
จำเดิมแต่วันสวรรค์คตสืบไปจนวันสิ้นงานพระเมรุ...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๖
วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๖๒ หน้า ๒๐๖๙)
พระองค์ที่
๑๕ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘–๒๔
มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๙
“...มีรับสั่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ซึ่งได้ทรงรับรัชทายาทสำเร็จราชการแผ่นดิน
ให้ประกาศจงทราบทั่วกันว่า สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระประชวรพระโรคพระโลหิตเป็นพิษในพระอุทรมาแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน
นายแพทย์ทั้งหลายทั้งฝ่ายอายุรแพทย์และศัลยแพทย์ได้ปรึกษาพร้อมกันรักษา
แต่พระอาการหาคลายไม่ ถึง ณ วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน เสด็จสวรรคต ณ
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เวลาเช้า ๑ นาฬิกา กับ ๔๕ นาที
และจะได้เชิญพระบรมศพสู่พระโกษฐแห่จากพระมหามณเฑียรไปประดิษฐานไว้ ณ
พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน นั้น...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๔๒ วันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ หน้า ๒๓๐)
(ขอบคุณภาพจาก http://www.vajiravudh.ac.th)
พระองค์ที่
๑๖ พระศพสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า
สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๐–๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๑
“...เสนาบดีกระทรวงวังรับพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า ระหว่างกาลที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า
สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทนี้...” (ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๔๔ วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๗๐ หน้า ๑๒๗๓)
สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี
พระอัครราชเทวี ในรัชกาลที่ ๗ เดิมทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น “พระนางเจ้าพระราชเทวี”
ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ
มีพระราชดำริจะเฉลิมพระเกียรติยศพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน เพื่อเป็นสิริมงคลแก่พระองค์เนื่องในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร
โดยหนึ่งในพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่นั้น คือ พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
โดยทรงเลื่อนพระฐานันดรศักดิ์แห่งพระมเหสีเทวี จากชั้น “พระราชเทวี” มาเป็นชั้น
“พระอัครราชเทวี” แต่เนื่องจากมิได้ทรงเป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ ๗
จึงได้เปลี่ยนคำนำพระนามจาก “สมเด็จพระนางเจ้า” ให้ตรงกับชั้นที่เป็นพระญาติว่า
“สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า” เมื่อก่อนจะสิ้นพระชนม์นั้น
ได้ทรงทราบว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะประดิษฐานพระศพของพระองค์บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ได้มีพระดำรัสว่า “เกินหน้าน้องนักหนา พี่บาหยัน”
จึงทรงเป็นเจ้านายฝ่ายในอีกพระองค์หนึ่งที่ได้รับพระราชทานพระเกียรติยศเป็นพิเศษ
พระองค์ที่
๑๗ พระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เมื่อ
พ.ศ.๒๔๘๑
“...วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ เวลา ๑๗
นาฬิกา คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มายังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ประคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ทรงวางพวงดอกไม้ของหลวงที่หน้าพระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉาเจ้า
เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพ็ชรบุรีราชสิรินธร...” (ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๕ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑ หน้า ๓๙๑๖)
สมเด็จพระราชปิตุจฉา
เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
มีฐานะเป็นเชษฐภคินีในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรมพระบรมราชชนก
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังไม่ทรงมีพระมเหสีเทวี
สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเคียงคู่กับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่เสมอ
จนทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาขึ้นเป็น “กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร”
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๘ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
จึงได้มีพระบรมราชโองการเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์
กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร
พระองค์ที่
๑๘ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระประเมนทรมหาอานันทมหิดล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ – ๒๔๙๓
“...นายกรัฐมนตรี
ในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง รับพระบัญชาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมขุนชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสั่งว่า
สมควรแก่เวลาที่จะประกอบการถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลได้แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างพระเมรุมาศขึ้น ณ ท้องสนามหลวงเป็นที่ถวายพระเพลิงตามราชประเพณี...
“วันที่ ๒๘ มีนาคม
เจ้าพนักงานจัดเตรียมการที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวังไว้พร้อมสรรพ...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๖๗
ตอนที่ ๑๖ วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๔๙๓ หน้า ๑๒๖๓)
เดิมทรงมีพระบรมราชอิสริยยศเป็น
“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล” เนื่องจากยังไม่ทรงผ่านการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยเป็น “พระบาทสมเด็จพระประเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทร์”
และถวายนพปฎลมหาเศวตรฉัตรกางกั้นเหนือพระบรมโกศเป็นพระเกียรติยศ
(ขอบคุณภาพจากคุณกะหล่ำปลีลวกกินกับขนทจีนน้ำยา โพสใน Pantip.com)
พระองค์ที่
๑๙ พระบรมศพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ – ๒๔๙๙
“...นายกรัฐมนตรี
ในตำแหน่งบังคับบัญชาสำนักพระราชวัง รับสนองพระบรมราชโองการเหนือเกล้าฯ สั่งว่า
สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จสวรรคต ประดิษฐานพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
และได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นลำดับมา...” (ราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๗๓ ตอนที่ ๓๓ วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๙๙ หน้า ๑๒๔๒)
พระองค์ที่
๒๐ พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗ – ๒๕๒๘
“...สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ พระชนมพรรษา ๗๙
ประชวรสวรรคตด้วยพระหทัยวาย ที่วังศุโขทัย เมื่อวันอังคารที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗ เวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๐
นาทีได้อัญเชิญพระลองทองใหญ่ประกอบพระโกศทรงพระบรมศพขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดลจำหลักลายประดับรัตนชาติภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร
แวดล้อมด้วยอภิรุมชุมสาย พุ่มดอกไม้ทองเงินและเครื่องพระราชอิสริยยศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐๒ ตอนที่ ๔๓
วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๘ ฉบับพิเศษ หน้า ๑๓)
พระองค์ที่ ๒๑ พระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ – ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๙
“...สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวร
ณ ตึก ๘๔ ปี โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๓๘
ตามที่สำนักพระราชวังได้แถลงให้ทราบเป็นระยะแล้วนั้น
“แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ
พระอาการประชวรได้ทรุดหนักลงตามลำดับ และสวรรคตเมื่อเวลา ๒๑ นาฬิกา ๑๗ นาที วันที่
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๓๘ รวมพระชนมายุ ๙๔ พรรษา
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้สำนักพระราชวังจัดการพระบรมศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี
ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด ๑๐๐
วัน ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป...” (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๒
ตอนพิเศษ ๓๐ ง วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๘
หน้า ๑)
พระองค์ที่
๒๒ พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๑
“...สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระชันษา ๘๔ ปี ๗ เดือน ๒๗ วัน
ประชวรสิ้นพระชนม์ที่โรงพยาบาลศิริราช
เมื่อวันพุธที่ ๒ มกราคม พุทธสักราช ๒๕๕๑ เวลา ๒ นาฬิกา ๕๔ นาที
ได้ถวายพระลองทองใหญ่ประกอบพระโกศตามพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ขึ้นประดิษฐานเหนือพระแท่นสุวรรณเบญจดลจำหลักลายประดับรัตนชาติภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร
แวดล้อมด้วยอภิรุมชุมสาย พุ่มดอกไม้ทองเงินและเครื่องพระอิสริยยศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง...”
พระองค์ที่
๒๓ พระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๔๕๔ – ๙ เมษายน ๒๕๕๕
“...สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
ได้เสด็จประทับรักษาพระอาการประชวรติดเชื้อในกระแสพระโลหิต ณ ตึก ๘๔ ปี ชั้น ๕ ด้านตะวันออก โรงพยาบาลศิริราช
ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิด
จนสุดความสามารถ พระอาการได้ทรุดลงตามลำดับ และสิ้นพระชนม์เมื่อเวลา ๑๖ นาฬิกา ๓๗
นาที วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมพระชันษา ๘๕ ปี
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้สำนักพระราชวังจัดการพระศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
“ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวายมีกำหนด ๑๐๐
วัน ตั้งแต่วันสิ้นพระชนม์เป็นต้นไป...”
พระองค์ที่ ๒๔ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๔๕๙ –ปัจจุบัน
สิ้นพระนามเมื่อเขียนบทความแต่เพียงเท่านี้ วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๐
******************
หมายเหตุ
ในบัญชีรายพระนามนี้ ยังไม่นับรวม สมเด็จเจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงเทพวดี พระเจ้าน้องนางเธอในรัชกาลที่ ๒ ซึ่งมีพระเกียติยศพอที่จะประดิษฐานพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทได้ เนื่องจากผู้เขียนยังค้นไม่พบหลักฐาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น