สถานที่ประดิษฐานพระบรมศพและพระศพเจ้านาย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบรมศพพระมหากษัตริย์
ตามโบราณราชประเพณีเมื่อพระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรีเสด็จสวรรคตจะอัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็นต้นมา จนถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
รวมทั้งสิ้น ๘ พระองค์ เว้นเฉพาะพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗
เพียงพระองค์เดียวที่เสด็จสวรรคต ณ ประเทศอังกฤษ ขณะทรงสละราชสมบัติและดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมราชปิตุลา
เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงประชาธิปกศักดิเดชน์ จึงได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ณ ประเทศอังกฤษ แล้วอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับมาบำเพ็ญพระราชกุศลในประเทศไทยภายหลัง
อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลที่ ๕
เคยมีพระราชกระแสรับสั่งว่า หากพระองค์เสด็จสวรรคตให้ประดิษฐานพระบรมศพของพระองค์ไว้
ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ที่สร้างขึ้นใหม่ในพระราชวังดุสิต เพื่อที่ “จะได้ไม่กีดลูกในพระมหาปราสาท”
แต่การณ์มิได้เป็นไปตามพระราชประสงค์
เมื่อเสด็จสวรรคตก่อนที่พระที่นั่งอนันตสมาคมจะสร้างแล้วเสร็จ
พระบรมศพสมเด็จพระบรมราชชนนี
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงซึ่งเสด็จสวรรคตในรัชกาลของพระราชโอรส
เคยโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง เป็นราชประเพณีสืบต่อมา ปรากฏพระนามอยู่ ๓ พระองค์ ได้แก่
พระองค์ที่
๑ สมเด็จกรมพระศรีสุลาไลย ในรัชกาลที่ ๓
พระองค์ที่
๒ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๖
พระองค์ที่
๓ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๙
โดยสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
ทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีเพียงพระองค์เดียวที่ทรงเคยดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีในรัชกาลที่
๕ ส่วนสมเด็จพระกรมพระศรีสุลาไลย ทรงเคยเป็นพระสนมเอกในรัชกาลที่ ๒
และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเคยเป็นหม่อมห้ามในสมเด็จพระเจ้าฟ้าฯ
กรมหลวงสงขลานครินทร์
พระบรมศพสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนๆ
สมเด็จพระบรมวงศ์ฝ่ายในซึ่งเคยดำรงตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนๆ
แม้ต่อมาบางพระองค์จะได้เฉลิมพระเกียรติยศเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
แต่มีพระชนมายุยืนยาวมาถึงรัชกาลของพระราชนัดดาบ้าง
หรือมิได้เสด็จสวรรคตในรัชกาลของพระราชโอรสบ้าง เคยโปรดเกล้าฯ
ให้ประดิษฐานพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท หรือในสถานที่อันควรแก่พระราชอิสริยยศ
ตามที่ปรากฏดังนี้
พระองค์ที่ ๑ สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ ซึ่งแม้จะมิได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า หรือตำแหน่งพระมเหสีเทวีในรัชกาลที่ ๑ แต่ก็นับว่าทรงเป็นพระอัครมเหสีในรัชกาลนั้น เพราะทรงเป็นพระราชมารดาเจ้าฟ้า ชาววังออกพระนามถวายพระพรว่า “สมเด็จพระพรรษา” ในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์” ที่ตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระชนมายุมาจนถึงรัชกาลที่ ๓ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระราชฐานะมาเป็น “สมเด็จพระบรมอัยกี” เมื่อเสด็จสวรรคตได้เชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิดามหาปราสาท
พระองค์ที่ ๒ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด” ทรงเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๒ ขณะเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ ๓ ทรงดำรงพระเกียรติยศเป็น “สมเด็จพระพันวษา” และประทับอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี พระราชโอรส ณ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี เมื่อเสด็จสวรรคต จึงอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐานไว้ ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิม เมื่อถึงคราวจะถวายพระเพลิงจึงอัญเชิญพระบรมศพไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง จนกระทั่งในรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระบรมอัฐิเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระองค์ที่ ๑ สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ ซึ่งแม้จะมิได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า หรือตำแหน่งพระมเหสีเทวีในรัชกาลที่ ๑ แต่ก็นับว่าทรงเป็นพระอัครมเหสีในรัชกาลนั้น เพราะทรงเป็นพระราชมารดาเจ้าฟ้า ชาววังออกพระนามถวายพระพรว่า “สมเด็จพระพรรษา” ในรัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์” ที่ตำแหน่งสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีพระชนมายุมาจนถึงรัชกาลที่ ๓ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระราชฐานะมาเป็น “สมเด็จพระบรมอัยกี” เมื่อเสด็จสวรรคตได้เชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิดามหาปราสาท
พระองค์ที่ ๒ กรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด” ทรงเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๒ ขณะเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ ๓ ทรงดำรงพระเกียรติยศเป็น “สมเด็จพระพันวษา” และประทับอยู่กับสมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี พระราชโอรส ณ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี เมื่อเสด็จสวรรคต จึงอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐานไว้ ณ ท้องพระโรง พระราชวังเดิม เมื่อถึงคราวจะถวายพระเพลิงจึงอัญเชิญพระบรมศพไปยังพระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง จนกระทั่งในรัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระบรมอัฐิเป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
พระองค์ที่ ๓ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี
พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๕
และภายหลังจากที่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ในรัชกาลที่ ๖
เสด็จสวรรคต ได้ทรงรับพระราชภาระเป็นประธานราชการฝ่ายใน มาในรัชกาลที่ ๗ ทรงเคารพนับถือเสมอด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้สถาปนาขึ้นเป็น “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสามาตุจฉาเจ้า” ครั้นในรัชกาลที่
๘ คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประกาศเฉลิมพระนามเป็น “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า”
เมื่อเสด็จสวรรคตในรัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
อัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จึงนับเป็นสมเด็จพระพันวัสสาพระองค์แรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ที่ได้รับการถวายพระเกียรติยศอย่างสูงสุด
พระองค์ที่ ๔ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี
พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ โดยนับว่าทรงเป็นสมเด็จพระบรมราชินีพระองค์แรกที่ได้รับการสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสี
ภายหลังจากการตรากฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗ ซึ่งได้มีการจัดระเบียบตำแหน่งพระมเหสีเทวีอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
แม้ต่อมาพระราชสวามีจะสละราชสมบัติ แต่พระองค์ก็ยังดำรงอยู่ในฐานันดรนั้นมิได้มีการเปลี่ยนแปลง
มาในรัชกาลที่ ๙ จึงทรงเป็นพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ที่มีพระอิสริยยศสูงพระองค์หนึ่ง
เมื่อเสด็จสวรรคตจึงโปรดเกล้าฯ
ให้ประดิษฐานพระบรมศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทตามพระเกียรติยศ
โดยจะสังเกตได้ว่า หากสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนเสด็จสวรรคต
พระมหากษัตริย์เคยโปรดเกล้าฯ ให้ถวายพระเกียรติยศสูงสุด โดยอัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ยกเว้นกรมสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ที่ประดิษฐานพระบรมศพ
ณ พระราชวังเดิม แต่ก็ควรนับเป็นพระเกียรติยศยิ่งอย่างหนึ่ง
เพราะพระราชฐานแห่งนั้นเคยเป็นพระราชวังที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
พระบรมศพสมเด็จพระอัครมเหสี
สมเด็จพระอัครมเหสี
ซึ่งเสด็จสวรรคตในรัชกาลของพระราชสวามี ปรากฏพระนามอยู่ ๓ พระองค์ ได้แก่
พระองค์ที่ ๑ สมเด็จพระนางนาฏโสมนัสวัฒนาวดี บรมอรรคราชเทวี ในรัชกาลที่ ๔
พระองค์ที่ ๑ สมเด็จพระนางนาฏโสมนัสวัฒนาวดี บรมอรรคราชเทวี ในรัชกาลที่ ๔
พระองค์ที่ ๒ พระนางเธอ
พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ในรัชกาลที่ ๔
พระองค์ที่ ๓ สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
พระบรมราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕
แต่เดิมนั้นดูเหมือนจะมีธรรมเนียมประดิษฐานพระศพพระอัครมเหสีที่หอธรรมสังเวช
ในพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับพระบรมวงศ์ฝ่ายใน โดยเมื่อคราวงานพระศพสมเด็จพระนางนาฏโสมนัสวัฒนาวดี
ในพงศาวดารระบุว่า “ครั้น ณ วันอาทิตย์เดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ก็สิ้นพระชนม์ ... ศิริพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา จะเชิญพระศพไปไว้ ณ หอธรรมสังเวช
การก็ทำยังไม่แล้วจึงได้เชิญพระศพขึ้นไปไว้บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” และเมื่อคราวงานพระศพพระนางเธอ
พระองค์เจ้ารำเพยภมราภิรมย์ ที่ตำแหน่งพระราชเทวี (ต่อมาได้รับการสถาปนาพระบรมอัฐิเป็น
“กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์” พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) แม้รัชกาลที่ ๔
จะมิได้ทรงยกย่องเสมอด้วยสมเด็จพระนางนาฏโสมนัสฯ แต่ก็ทรงมีฐานะเป็นพระมเหสีเอกเพียงพระองค์เดียวอยู่ในขณะนั้น
เมื่อสิ้นพระชนม์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพที่หอธรรมสังเวช โดยพระราชหัตถเลขาในรัชกาล
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๐๔ ถึงพระองค์เจ้าปัทมราช ได้ทรงเขียนถึงการตั้งพระศพสมเด็จพระนางรำเพยฯ
ว่า "...ได้รับประทานจัดการไว้ศพในโกศตั้งไว้ที่ตึกต้นสน
แต่ตกแต่งเสียใหม่ให้งามดี... แลตกแต่งสิ่งอื่นมากพอสมควร
ครั้นจะยกขึ้นไปไว้บนพระมหาปราสาท เห็นจะกีดขวางการพระราชพิธีไม่พอที่
แต่เท่านั้นก็ดีแล้ว..."
ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระนางเธอ พระองค์เจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
(ภายหลังได้รับการสถาปนาพระศพขึ้นเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์
พระบรมราชเทวี” ที่ตำแหน่งพระอัครมเหสี) สิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่มที่ตำบลบางพูด
ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพที่หอธรรมสังเวชเช่นเดียวกัน
พระบรมศพสมเด็จพระมหาอุปราช
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
สมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงเป็นเจ้านายฝ่ายหน้าที่ดำรงพระเกียรติยศเป็นที่สองรองจากองค์พระมหากษัตริย์
จนถึงกับชาวฝรั่งต่างชาติเรียกว่า “พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่ ๒”
แต่เนื่องจากทรงมีพระราชวังที่ประทับเป็นของพระองค์เอง คือ พระราชวังบวรสถานมงคล
หรือที่เรียกกันสามัญว่า “วังหน้า” อยู่แล้ว
เมื่อเสด็จสวรรคตจึงอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐานไว้ยังพระที่นั่งในวังหน้านั้นเอง
ดังปรากฏพระนาม คือ
พระองค์ที่ ๑ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน
พระองค์ที่ ๒ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานานุรักษ์
ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์
พระองค์ที่ ๓ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพย์
ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
พระองค์ที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประดิษฐานพระบรมศพ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
พระองค์ที่ ๕ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ
ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย
(พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ในพระราชวังบวรสถานมงคล
ที่มาของภาพ : http://diarylove.com/forum_posts.asp?TID=12602)
พระบรมศพสมเด็จพระยุพราช
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นเจ้านายฝ่ายหน้าเพียงพระองค์เดียวนอกจากองค์พระมหากษัตริย์ที่พระบรมศพเคยประดิษฐานบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ในฐานะที่ทรงรับรัชทายาทสืบราชสันตติวงศ์
และดำรงพระเกียรติยศเสมอด้วยสมเด็จพระมหาอุปราชฝ่ายหน้า กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ประกอบกับเมื่อสวรรคตเสด็จประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง มิได้เสด็จออกไปประทับอยู่วังข้างนอกอย่างลูกเธอพระองค์อื่นๆ
เนื่องจากสมเด็จพระราชบิดามีพระราชประสงค์จะทรงสั่งสอนราชการแผ่นดินอย่างใกล้ชิด
จึงอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พระบรมศพได้ประดิษฐานบนพระมหาปราสาท
พระศพพระราชวงศ์ฝ่ายใน
นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
๑ เป็นต้นมา พระศพของเจ้านายฝ่ายในบางพระองค์ที่ดำรงพระอิสริยยศสูง หรือเป็นที่เคารพแห่งพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หรือมีพระเกียรติคุณเป็นที่ประจักษ์ อาจทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ประดิษฐานพระศพบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเพื่อถวายพระเกียรติยศอย่างสูงสุด ได้แก่
พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาเทพสุดาวดี
พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระศรีสุดารักษ์
พระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีสุนทรเทพ พระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร พระศพสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี
และพระศพสมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร สำหรับในรัชกาลปัจจุบัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระเกียรติยศนี้แก่พระศพสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ พระโสทรเชษฐภคินี และพระองค์ล่าสุด คือ พระศพสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี
สำหรับเจ้านายฝ่ายในนั้น
ไม่ว่าจะดำรงพระยศชั้นเจ้าฟ้า หรือพระองค์เจ้าก็ตาม
ตามธรรมเนียมที่เคยมีมาเมื่อสิ้นพระชนม์ก็จะเชิญพระศพประดิษฐานไว้ที่ “หอในพระบรมมหาราชวัง”
ที่มีไว้สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ ปรากฏนามอยู่ด้วยกัน ๓ หอ คือ หอธรรมสังเวช
หอนิเพธพิทยา (เดิมมีชื่อว่า “หอราชพิธีกรรม” เคยใช้สถานที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ
ต่อมาได้ว่างเว้นไป ในรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น
“หอนิเพธพิทยา” ใช้ประดิษฐานพระศพพระอัครชายา พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์
เป็นครั้งแรก) และหออุเทศทักษิณา ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
แต่นอกจากหอดังกล่าวแล้ว ในรัชกาลที่ ๕
เคยพระราชทานเกียรติยศเป็นพิเศษแก่พระศพพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนสุพรรณภาควดี
ซึ่งมีพระราชดำรัสว่าเป็น “ลูกคู่ทุกข์คู่ยาก”
ให้ประดิษฐานพระศพไว้บนพระที่นั่งสุทไธสวรรค์ ในพระบรมมหาราชวัง
จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗
เมื่อเจ้านายฝ่ายในบางส่วนได้เสด็จออกไปประทับ ณ สวนดุสิต และสวนสุนันทา
หากเจ้านายชั้นสูงพระองค์ใดสิ้นพระชนม์ เคยโปรดเกล้าฯ
ให้ประดิษฐานพระศพไว้ยังพระที่นั่งในสวนเหล่านั้นด้วย เช่น สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ
เจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีสัชนาลัยสุรกัญญา พระศพตั้งไว้ ณ พระที่นั่งอภิเศกดุสิต และพระวิมาดาเธอ
กรมพระสุทธาสินีนาฏปิยมหาราชปดิวรัดดา พระอัครชายาในรัชกาลที่ ๕ พระศพตั้งไว้
ณ พระที่นั่งนงคราญสโมสร เป็นต้น แต่หากเจ้านายพระองค์ใดทรงมีวังเป็นของตนเอง หรือประทับอยู่ที่วังของพระญาติ
และมีตำหนักพอจะจัดงานพระศพให้สมพระเกียรติได้ ก็จะโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งพระศพไว้ที่วัง หรือมิฉะนั้นก็จะเชิญพระศพกลับเข้ามาบำเพ็ญพระราชกุศลในพระบรมมหาราชวังต่อไป ซึ่งการพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตั้งพระศพเจ้านายฝ่ายในที่วังเจ้านายฝ่ายหน้า
หรือสถานที่อื่นนอกพระบรมมหาราชวัง มีขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๖
ดังที่ทรงบันทึกไว้ว่า
(พระที่นั่งนงคราญสโมสร ในสวนสุนันทา)
“...วันที่
๑๖ พฤศจิกายน พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าอัจฉรพรรณีรัชกัญญา สิ้นพระชนม์เวลา ๒
นาฬิกาเศษก่อนเที่ยง การที่สิ้นพระชนม์ลงในเวลานั้นออกจะทำให้ยุ่งพอใช้อยู่,
แต่ก็ยังดีกว่าสิ้นลงในระหว่างงานบรมราชาภิเษก.
ที่จริงท่านพระองค์นี้ก็นับว่าอยู่ได้ทนมาก, เพราะได้ประชวรเปนวรรณโรคภายในมาหลายปีก่อนนั้นแล้ว,
และได้ออกไปรักษาพระองค์อยู่ที่วังกรมราชบุรี ผู้เปนพระภาดาของท่าน.
เมื่อมีพระอาการหนักลงครั้ง ๑ ในรัชกาลที่ ๕ ทูลกระหม่อมได้ทรงกำหนดได้ว่า
ถ้าสิ้นพระชนม์ให้เชิญพระศพไปตั้งที่หออุเทศทักษิณา,
แต่เจ้าจอมมารดาตลับขอให้ตั้งพระศพไว้ที่ตำหนักในวังกรมราชบุรี
เพื่อสะดวกแก่การดูแลรักษา, ฉันก็ตกลงอนุญาตเวลา ๑๐ นาฬิกา คืนวันที่ ๑๖
ฉันได้ไปสรงพระศพ. ฉันจดหมายเหตุอันนี้ไว้
เพราะครั้งนี้เปนครั้งแรกที่ได้ยอมให้ตั้งพระศพพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในที่วังเจ้านายฝ่ายน่า,
และได้เปนตัวอย่างสำหรับอ้างในรายอื่นต่อมาภายหลัง. ตามระเบียบที่เคยมาแต่ก่อนนี้
เจ้านายฝ่ายใน, และลูกยาเธอที่ยังมิได้ออกวัง,
เมื่อสิ้นพระชนม์ลงก็ตั้งพระศพที่หอธรรมสังเวชหรือหอนิเพธพิทยาในพระบรมมหาราชวัง
(เดิมอยู่ริมกำแพงวังชั้นในด้านตะวันตก, ต่อประตูพรหมศรีสวัสดิ์ออกไป
เดี๋ยวนี้รื้อแล้วทั้ง ๒ หอ, และได้สร้างห้องแถวที่มหาดเล็กอยู่ขึ้นแทนใน
พ.ศ.๒๔๖๖). ต่อมาเมื่อทูลกระหม่อมทรงสร้างพระราชวังสวนดุสิตขึ้นแล้ว,
และได้เสด็จออกไปประทับอยู่ ณ ที่นั้น
จึ่งได้โปรดเกล้าให้สร้างหออุเทศทักษิณาขึ้นทางริมกำแพงด้านเหนือ เปนที่ไว้พระศพต่อมา
หอนี้ทำด้วยไม้ มุงจาก นับว่าเปนของชั่วคราว, แต่จนตลอดรัชกาลที่ ๕
ก็มิได้จัดสร้างขึ้นเปนของถาวร, และต่อมาฉันก็ไม่มีเงินจะสร้างขึ้นให้เปนของถาวร,
จึ่งยังคงเปนของ “ชั่วคราว” อยู่จน พ.ศ.๒๔๖๖...” (ประวัติต้นรัชกาลที่
๖ :
ราม วชิราวุธ)
(พระเจ้าพี่นางเธอ พระองค์เจ้าอัจฉรพรรณีรัชกัญญา)
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชดำริว่า ในรัชกาลแต่ก่อนมา มีหอในพระบรมมหาราชวังสำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล
หรือจัดการพระราชพิธีบางอย่าง ต่อมาหอเหล่านั้นได้ทรุดโทรมลง
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อและสร้างขึ้นใหม่
กับทั้งบูรณะหออื่นขึ้นทดแทนของเดิม ได้แก่ หอหน้าประตูพรหมศรีสวัสดิ์ ทรงขนานนามว่า
“หอธรรมสังเวช” หอที่ถนนเขื่อนขันธนิเวศน์ ริมประตูศรีสุนทร
หลังข้างเหนือขนานนามว่า “หอนิเพธพิทยา” และหอข้างใต้ขนานนามว่า
“หออุเทศทักษิณา”และหอที่อยู่ระหว่างอัฏฐวิจารณศาลา
และประตูสุวรรณบริบาลขนานนามว่า “หอราชพิธีกรรม”
ในสมัยรัชกาลที่
๘ พระศพเจ้านายฝ่ายในหลายพระองค์ยังคงตั้งบำเพ็ญพระราชกุศล ณ
หอในพระบรมมหาราชวังอีกหลายพระองค์ เช่น พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าวาณีรัตนกัญญา ที่หอนิเพธพิทยา
ใน พ.ศ.๒๔๗๘ พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรพินทเพ็ญภาค ที่หออุเทศทักษิณา
ใน พ.ศ. ๒๔๗๘ หรือพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์
ที่หอนิเพธพิทยา ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๐
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ลงมติให้เปลี่ยนชื่อ “หอธรรมสังเวช” เป็น
“ศาลาราชการุณย์”
ในรัชกาลปัจจุบัน
หอต่าง ๆ ในวังหลวงทรุดโทรมลง หรือถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เมื่อเจ้านายฝ่ายในสิ้นพระชนม์
เคยโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ตามพระเกียรติยศ ดังนี้
ศาลาสหทัยสมาคม
ในพระบรมมหาราชวัง เคยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี
พระวรราชชายาในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘
(การประดิษฐานพระศพสมเด็จพระนางจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรราชชายาในรัชกาลที่ ๖ ณ ศาลาสหทัยสมาคม)
พระที่นั่งทรงธรรม ในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
เคยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพเจ้านายฝ่ายใน ดังนี้
พระองค์ที่ ๑
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖
พระองค์ที่ ๒
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเหมวดี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
พระองค์ที่ ๓
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐
พระองค์ที่
๔ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวาปีบุษบากร เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕
พระองค์ที่
๕ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘
(พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร : เว็บไซต์ผู้จัดการ) (งานพระศพพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ณ พระที่นั่งทรงธรรม)
หอนิเพธพิทยา ในพระบรมมหาราชวัง
ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาสารี เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๕ นับเป็นเจ้านายพระองค์สุดท้ายที่ประดิษฐานพระศพที่หอในพระบรมมหาราชวัง
(หอนิเพธพิทยา : คุณ Navarat.C โพสในเว็บเรือนไทย )
ศาลามรุพงศ์
ในวัดมกุฎกษัตริยาราม ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพพระนางเธอลักษมีลาวัณ ในรัชกาลที่ ๖
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔
ส่วนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงทิพยรัตนกิริฏกุลินี และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทรทิพยนิภา
ซึ่งสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๕๐๑ ได้ตั้งพระศพบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วังสวนผักกาด
ถนนศรีอยุธยา และวังส่วนพระองค์ ถนนราชวิถี ตามลำดับ
พระศพพระราชวงศ์ฝ่ายหน้า
“...ตามระเบียบที่เคยมาแต่ก่อนนี้
เจ้านายฝ่ายใน, และลูกยาเธอที่ยังมิได้ออกวัง,
เมื่อสิ้นพระชนม์ลงก็ตั้งพระศพที่หอธรรมสังเวชหรือหอนิเพธพิทยาในพระบรมมหาราชวัง
(เดิมอยู่ริมกำแพงวังชั้นในด้านตะวันตก, ต่อประตูพรหมศรีสวัสดิ์ออกไป...”
(ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ : ราม วชิราวุธ)
สำหรับเจ้านายฝ่ายหน้า
หากเป็นเจ้านายที่พระชนมายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะออกวัง หรือแม้จะเจริญพระชนมายุแล้ว
แต่ยังประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง (ที่ไม่ใช่ฝ่ายใน) เมื่อสิ้นพระชนม์ลง
ตามธรรมเนียมก็จะโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระศพ ณ หอในพระบรมมหาราชวัง
เช่นเดียวกับเจ้านายฝ่ายใน เช่น สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ สมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตมธำรง
และสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนศรีธรรมราชธำรงฤทธิ์ ซึ่งสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
ได้เชิญพระศพประดิษฐานพระศพ ณ หอธรรมสังเวช หรือพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าสมัยวุฏฐิวโรดม
เชิญพระศพประดิษฐาน ณ หอนิเพธพิทยา เป็นต้น
แต่หากเจ้านายฝ่ายหน้าที่เจริญพระชนมายุและได้รับพระราชทานวังที่ประทับภายนอกพระบรมมหาราชวังแล้ว
เมื่อสิ้นพระชนม์ก็จะประดิษฐานพระศพไว้ ณ วังที่ประทับของพระองค์เอง หรือหากวังไม่มีสถานที่พอจะจัดงานพระศพให้สมพระเกียรติก็จะเชิญพระศพไปประดิษฐานที่วังของพระญาติ
หรือสถานที่อันควรแก่พระอิสริยยศ ยกตัวอย่างเช่น
สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข
เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชน์ ประดิษฐานพระศพ ณ
วังบูรพาภิรมย์
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนเพ็ชบูรณ์อินทราชัย ประดิษฐานพระศพ
ณ ตำหนักวังปารุสกวัน
สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์
ประดิษฐานพระศพมาประดิษฐาน ณ ท้องพระโรงวังสวนกุหลาบ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ประดิษฐานพระศพ ณ วังตำบลข้างวัดพระเชตุพน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งทรงธรรม วัดเบญจมบพิตร
ขอสรุปไว้แต่เพียงเป็นเกร็ดความรู้แต่เพียงเท่านี้ก่อน
และคงจะได้เก็บรายละเอียดในแต่ละเรื่องมาเล่าสู่กันฟังต่อไปครับ
รอยใบลาน
๑๑ กันยายน ๒๕๖๐
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น